
การบริหารการเปลี่ยนแปลง (change management) ทักษะที่ผู้นำยุคใหม่ต้องมี
การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) คืออะไร?
การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) คือกระบวนการที่ช่วยให้องค์กร ทีมงาน หรือบุคคลสามารถปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างองค์กร กระบวนการทำงาน เทคโนโลยี หรือวัฒนธรรมองค์กร
ในยุคที่โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคาดการณ์ได้ยาก การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) จึงเป็นทักษะที่ผู้นำยุคใหม่ต้องมี เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวผ่านความท้าทายและสร้างโอกาสในการเติบโต
ทำไมการบริหารการเปลี่ยนแปลงจึงสำคัญ?
- การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกธุรกิจ หากองค์กรสามารถบริหารการเปลี่ยนแปลงได้ดี จะช่วยให้:
- ลดแรงต่อต้านจากพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- ปรับตัวได้รวดเร็วและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ
- ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืน
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน
ในยุคที่โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคาดการณ์ได้ยาก การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) จึงเป็นทักษะที่ผู้นำยุคใหม่ต้องมี เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวผ่านความท้าทายและสร้างโอกาสในการเติบโต
องค์ประกอบสำคัญของการบริหารการเปลี่ยนแปลง
การรับรู้และเข้าใจความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง
- ผู้นำต้องสามารถสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไมการเปลี่ยนแปลงจึงจำเป็น และผลลัพธ์ที่คาดหวังคืออะไร
การวางแผนและกำหนดกลยุทธ์
- ต้องมีแผนที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างไร ใครมีบทบาทอะไร และระยะเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ
การบริหารแรงต้าน (Resistance Management)
- การเปลี่ยนแปลงมักมาพร้อมกับแรงต้านจากพนักงานหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้นำต้องสามารถจัดการความกังวลและสร้างความมั่นใจให้ทีม
การพัฒนาทักษะและความพร้อมของทีมงาน
- การเปลี่ยนแปลงที่ดีต้องมาพร้อมกับการพัฒนาทักษะให้พนักงานสามารถปรับตัวและทำงานภายใต้ระบบหรือแนวทางใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง
- การอัปเดตข้อมูล ความคืบหน้า และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมและเข้าใจทิศทางขององค์กร
การติดตามและปรับปรุง
- หลังจากการเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องคอยประเมินผล ติดตามผลกระทบ และปรับปรุงกระบวนการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
แนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ
✅ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน – ให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไมต้องเปลี่ยนแปลง และผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร
✅ สร้างความมีส่วนร่วม – เปิดโอกาสให้พนักงานเข้ามามีบทบาทและแสดงความคิดเห็น
✅ สนับสนุนการเรียนรู้ – ให้การฝึกอบรมและเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลง
✅ สร้างวัฒนธรรมที่ยืดหยุ่น – ส่งเสริมให้พนักงานพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
✅ ติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง – ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบอย่างไร และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ต้องใช้ Change Management
- การนำระบบเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในองค์กร
- การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรหรือการควบรวมกิจการ
- การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เช่น การส่งเสริมการทำงานแบบ Agile
- การเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานจากออฟฟิศเป็นการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote Work

สภาพแวดล้อมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้นักบริหารต้องมีการปรับตัวให้ทันต่อสภาวะแวดล้อม เนื่องจากผลของการเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดการสูญเสียได้ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน สินค้า ทักษะ เวลา กำลังคน และทรัพยากรอื่น ๆ ซึ่งนักบริหารจะต้องตัดสินใจว่าเวลาใดควรจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ หรือเวลาใดจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ โดยนักบริหารจะต้องมีการเรียนรู้และมีความคิดสร้างสรรค์
องค์การจำเป็นจะต้องมีความยืดหยุ่น มีรูปแบบองค์การที่ทันสมัย และมีการพัฒนาเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการบริหารความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อนักบริหารอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและการคาดการณ์เพื่อเตรียมวางแผนไว้ล่วงหน้าทำได้ยาก
กลยุทธ์ การบริการการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจความสามารถของนักบริหาร รวมไปถึงความร่วมมือจากบุคคลในองค์การด้วย จึงจะทำให้สามารถบริหารความเปลี่ยนแปลงได้ (Management of Change)
ทั้งนี้หากไม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง การจัดการก็อาจจะทำได้ยากขึ้น เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงใด ๆ มักจะก่อให้เกิดแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นนักบริหารในฐานะที่เป็นผู้นำที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องอาศัยทักษะและความรอบคอบในการจัดการ โดยผู้บริหารต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง กระบวนการการเปลี่ยนแปลง และวางบทบาทของตัวเองในการสร้างความเปลี่ยนแปลง สุดท้ายคือผู้บริหารสามารถตัดสินใจเลือกวิธีที่จะนำมาใช้ในการบริหารความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับองค์การ และเลือกวิธีที่บริหารได้อย่างเหมาะสมกับองค์การ
แบล็คและพอร์เตอร์ (Black and Porter, 2000) ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์การ โดยให้ความสำคัญปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโดยมีการแบ่งเป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในองค์การ
ปัจจัยภายนอกองค์กร ได้แก่
1. สภาวะเศรษฐกิจ มีผลกระทบต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การคือ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีทำให้องค์การต้องลดจำนวนบุคลากร ลดจำนวนการผลิต ในทางกลับกันถ้าเศรษฐกิจดีทำให้องค์การเพิ่มการผลิตสินค้าและบริการ ทำให้มีภารกิจเพิ่มขึ้นและมีการเพิ่มจำนวนบุคลากร
2. คู่แข่งขัน มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงด้านกลยุทธ์การตลาด ในการหาลูกค้าใหม่เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและการเติบโตทางการตลาด และอาจทำให้เกิดการควบรวมกิจการ
3. เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีผลกระทบต่อกิจกรรมหลักขององค์การ ทำให้องค์การต้องเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และมีผลกระทบต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์
4. การเมืองและกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎหมายมีผลให้องค์การต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย มีผลให้องค์การต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการทำงาน ระบบบริหารงาน ซึ่งต้องมีวิธีการเปลี่ยนแปลงให้รวดเร็วและเกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด
5. สังคมและประชากร การเปลี่ยนแปลงค่านิยมในการบริโภคสินค้าต่าง ๆ ทำให้องค์การต้องเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต ลักษณะของสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การขายและการตลาด
ปัจจัยภายในองค์กร ได้แก่
1.โครงสร้าง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การส่งผลให้องค์การมีผลิตภาพเพิ่มขึ้น และมีวิธีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนั้นรวมถึงการกระจายอำนาจ การลดจำนวนลำดับชั้นในองค์การ การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการประเมินบุคลากร
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในระดับมหภาค คือ การรวมแผนกต่าง ๆ ในองค์การ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในระดับจุลภาค คือ การรวมหรือแยกแผนกต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงที่ตั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างแผนกต่าง ๆ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การปรับแผนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความล่าช้า โดยรวมแผนกต่าง ๆ ในองค์การเป็นแผนกเดียว การรวมอำนาจด้านสารสนเทศ รวมอำนาจการจัดการสารสนเทศไว้ที่ผู้จัดการเพียงคนเดียว ลดจำนวนลำดับชั้นในองค์การ ทำให้องค์การมีโครงสร้างแบนราบ และสร้างการทำงานเป็นทีม สร้างความหลากหลาย ลดจำนวนลำดับชั้นในองค์การ และสร้างสำนักงานในภูมิภาคต่าง ๆ เป็นต้น
2. กลยุทธ์ นอกจากนี้ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในยังประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ขององค์การ ซึ่งกลยุทธ์จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการทำงาน เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์การ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกลยุทธ์จะเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้ทิศทางการดำเนินงานขององค์การเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์เกิดจากการปรึกษาหารือระหว่างผู้บริหารระดับต่าง ๆ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรในองค์การ
การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ในด้านต่างๆ เช่น การผลิต ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า ราคา ผลิตสินค้าที่มีราคาถูกและมีคุณภาพสูง
แชนเดลอร์ (Chandler,1962) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์และโครงสร้าง และสรุปว่าการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์องค์การ (Corporate Strategy) นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ
3. กระบวนการตัดสินใจ กระบวนการตัดสินใจของผู้บริหารองค์การที่มีโครงสร้างแบบแบนราบนั้น ผู้บริหารระดับสูงจะมีอำนาจในการตัดสินใจน้อยลง การตัดสินใจของผู้บริหารจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในองค์การ ส่วนการตัดสินใจของพนักงาน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดนวัตกรรมต่าง ๆ ทำให้เกิดวิธีการผลิตที่สามารถลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพให้เก็บสินค้าได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต
4. กระบวนการทำงาน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และโครงสร้างองค์การ ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานเพื่อแปรสภาพปัจจัยนำเข้าเป็นผลผลิตและผลลัพธ์
5. เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงเครื่องมือในการผลิตและเทคโนโลยีนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญในการอยู่รอด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์การ ซึ่งมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง กระบวนการทำงาน และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการทำงานอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานคืออาจทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในองค์การได้
6. วัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์การอาจส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์การนั้นคือการเปลี่ยนแปลงค่านิยมในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ ได้แก่
• การร่วมมือและการให้อำนาจ ผู้จัดการจะต้องไปทำงานในสาขาต่าง ๆ เช่นเดียวกับพนักงาน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสำนักงานใหญ่และสาขาย่อย
• มิตรภาพและการบริการลูกค้า สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและสมาคมต่าง ๆ
• การร่วมมือและการทำงานเป็นทีม สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแผนกต่าง ๆ ในองค์การ สร้างทีมงานเพื่อพัฒนานวัตกรรมและระบบการผลิต
• ความหลากหลาย มีบุคลากรที่มีความชำนาญในด้านต่าง ๆ โดยมีการฝึกอบรม
• ความร่วมมือและการมีส่วนร่วม ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เน้นความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในทุกระดับขององค์การ
• ความรู้สึกเป็นครอบครัว เพิ่มความรู้สึกเป็นเจ้าของและให้ความสำคัญกับพนักงานเพิ่มขึ้น
7. บุคลากร การเปลี่ยนแปลงนั้นมีความเกี่ยวข้องกับบุคลากรในองค์การในประเด็นต่อไปนี้ คือ
บุคลผู้นั้นทำหน้าที่อะไร บุคคลผู้นั้นมีทัศนคติและความคาดหวังอย่างไร บุคคลนั้นทำการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอย่างไร บุคคลนั้นได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากการเพิ่มหรือลดจำนวนบุคลากร สับเปลี่ยน โอนย้ายแผนก การให้ข้อมูลข่าวสาร และการฝึกอบรมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานของบุคลากรได้ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรนั้นสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถนั้นสามารถพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การ และทำให้ผลการปฏิบัติงานมีคุณภาพดีขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดองค์การ เพื่อให้สามารถทำการผลิตได้มีประสิทธิผลมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันองค์การมีแนวโน้มที่จะมีขนาดเล็กลง องค์การแต่ละประเภทจะมีขนาดที่แตกต่างกัน
องค์ประกอบที่สำคัญของการบริหารการเปลี่ยนแปลง ได้แก่
1. องค์กรต้องมีการวางแผนการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ดี
2. ผู้นำที่เกี่ยวข้องต้องเป็นผู้นำที่มีความกระตือรือร้น (active leadership)
3. การจัดการด้านพฤติกรรมของผู้บริหาร
4. เป้าหมายและประโยชน์ที่องค์กรต้องการนั้นต้องมีความชัดเจน
5. ประสิทธิภาพการสื่อสารถึงผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงความถี่ของการสื่อสารด้วย
6. การฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพ
7. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อสนับสนุนสภาพแวดล้อมใหม่ขององค์กร
8. การจัดการด้านระบบของการตอบแทนหรือการให้รางวัล
การสนับสนุนจากผู้บริหารขององค์กรมีส่วนอย่างมากต่อความสำเร็จของการบริหารการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารขององค์กรจะเกี่ยวข้องต่อการสร้างแนวทางใหม่ของการดำเนินงานขององค์กร การวางกลยุทธ์ขององค์กรรวมถึงการสนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยน
1. เป็นผู้ที่ตั้งทิศทางในการเปลี่ยนแปลง
2. เป็นผู้แก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานบริหารการเปลี่ยนแปลง
3. ให้การสนับสนุนต่องานบริหารการเปลี่ยนแปลง
กิจกรรมในการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)
1. การปรับเปลี่ยนด้านวิสัยทัศน์ (change vision) เป็นกิจกรรมที่สำคัญที่องค์กรต้องคำนึงถึงในการบริหารการเปลี่ยนแปลง การปรับวิสัยทัศน์ เป็นการจัดการด้านวิสัยทัศน์ที่องค์กรต้องการมุ่งสู่กลยุทธ์ที่ต้องการในอนาคต ซึ่งการปรับเปลี่ยนด้านวิสัยทัศน์ขององค์กรจะเกี่ยวข้องกับประโยชน์ ที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นด้วย
2. การออกแบบองค์กร (organization design) เมื่อองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร กิจกรรมของการออกแบบองค์กรจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดสายงานการบังคับบัญชา (reporting structure) การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของงานใหม่ที่เกิดขึ้นใหม่ การกำหนดทักษะ (skills) ที่ต้องการสำหรับงานที่เกิดขึ้นใหม่หรือที่เปลี่ยนไปจากเดิม การกำหนดผลการปฏิบัติงาน (performance measurers) และรวมถึงการกำหนดความต้องการอื่น ๆ
3. การสร้างวัฒนธรรมองค์กร (corporate culture) การจัดการด้านวัฒนธรรมองค์กรเป็นกิจกรรมที่สำคัญในการผลักดันให้องค์กรไปสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ต้องการได้เป็นกิจกรรมหนึ่งของการบริหารการเปลี่ยนแปลง
4. การสื่อสาร (communication) การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพอยู่ที่ระดับการไหลเวียนของข่าวสาร ที่ผู้บริการต้องการสื่อไปยังพนักงานหรือกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ ได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน รวมทั้งระดับของการเข้าใจในสารที่ถูกสื่อของพนักงานหรือกลุ่มเป้าหมายประสิทธิภาพของการสื่อจะมีผลกระทบต่อ
5. คุณค่า (values) พฤติกรรมความคิดของพนักงาน ดังนั้นองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการบริหารการเปลี่ยนแปลงจะให้ความสำคัญต่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมาเป็นลำดับต้น ๆ ของกิจกรรมการบริหารการเปลี่ยนแปลง
ทักษะผู้นำในการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ผู้นำจำเป็นต้องมี (Change Leadership Skills)
1.การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)
2.การบริหารจัดการประชุม (Effective Meeting)
3.การบริหารความขัดแย้ง (Conflict Management)
4.การแก้ปัญหาและตัดสินใจร่วมกัน (Collaborative Problem-solving & Decision Making)
5.การบริหารทีมบนความแตกต่าง (Team Synergy)
แบ่งปันแนวทางบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงและการ Transform องค์กรด้วย Adizes Methodology(Change Management using Adizes Methodology)
ทาง MindSpring ร่วมกับ Prudent Advisory (ก่อตั้งโดย คุณ รังสรรค์ ธรรมมณีวงศ์ ซึ่งเป็น Associates ของ Adizes Institute) จะมาแบ่งปันแนวทางและเทคนิคต่างๆเพื่อช่วยให้ผู้นำบริหารจัดการองค์กรท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้นผ่าน Youtube
#LeadingChange
#ChangeManagement
#PrudentAdvisory
#MindSpringAcaemy